Search

การอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย

ช่องว่างแห่งกฎ...

  • Share this:

การอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย

ช่องว่างแห่งกฎหมายนั้นมีความหมายว่าอย่างไร การเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายในกรณีใดบ้างและมีวิธีใดบ้างที่อุดช่องว่างแห่งกฎหมายได้ เราจำเป็นต้องใจทราบถึงปัญหาเมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายขึ้นมา ใช้หลักเกณฑ์ใดมาอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย ซึ่งสามารถพิจารณาได้ดังต่อไปนี้
1. ความหมายและการเกิดช่องว่างแห่งกฎหมาย
ความหมายของช่องว่างแห่งกฎหมายและการเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายสามารถอธิบายได้ดังนี้ คือ
1.1 ความหมายของคำว่าช่องว่างแห่งกฎหมาย
ช่องว่างแห่งกฎหมาย (Gap in the law) หมายถึง กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรหรือกฎหมายจารีตประเพณีที่จะนำไปใช้ปรับแก่ข้อเท็จจริงได้ กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายนำกฎหมายเพื่อมาใช้ปรับแก่กรณีไม่พบ จึงทำให้เกิดช่องว่างแห่งกฎหมาย
1.2 การเกิดช่องว่างแห่งกฎหมาย
ช่องว่างแห่งกฎหมายนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ 2 กรณีดังนี้คือ
1.2.1 ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างแห่งกฎหมาย
ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างแห่งกฎหมายซึ่งอาจเป็นเพราะสาเหตุ 2 ประการคือ
1. ผู้ร่างกฎหมาย สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างแห่งกฎหมายได้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดขึ้น อันเป็นความบกพร่องของผู้ร่างกฎหมาย เช่น ในเวลา ที่บัญญัติกฎหมายนั้น ได้มีการใช้โทรศัพท์กันอย่างแพร่หลาย แต่ผู้ร่างไม่ทันได้คิดเรื่องการใช้โทรศัพท์ และไม่ได้บัญญัติกฎหมายถึงกรณี การจูนคลื่นความถี่ทางโทรศัพท์ไว้ว่าเป็นความผิดอะไร
2.ผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถคิดถึงช่องว่างแห่งกฎหมายนั้นได้ เพราะไม่มีเหตุ
การณ์อันทำให้ช่องว่างกฎหมายเกิดขึ้น เช่น ผู้ร่างกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 ไม่สามารถคิดถึงการร่างกฎหมายเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้ายังไม่ใช้แพร่หลาย โดยเหตุนี้ จึงไม่บัญญัติกล่าวถึง การลักพลังงานเช่นการลักกระแสไฟฟ้าไปใช้แต่ประการใด



1.2.2 ผู้ร่างกฎหมายคิดถึงช่องว่างแห่งกฎหมายแต่เห็นว่ายังไม่สมควรจะ
บัญญัติให้ตายตัว
ช่องว่างแห่งกฎหมายกรณีนี้ เกิดขึ้นเพราะว่าผู้ร่างกฎหมายเห็นว่าตำรากฎหมายและคำพิพากษาของศาลยังไม่ได้พิจารณาปัญหานั้น อย่างเพียงพอและชัดเจน ยังไม่ได้คิดค้นหลักเกณฑ์อันเหมาะสมไว้สำหรับเรื่องนั้น ๆ โดยเหตุนี้การจะบัญญัติกฎหมายสำหรับกรณีนั้น ๆ ให้เป็น การตายตัว ย่อมเป็นการรีบด่วนเกินไป เพราะบทกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร และบัญญัติไว้อย่างชัดเจนนั้นจะเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการที่ ตำรา และคำพิพากษาจะได้คลี่คลายปัญหานี้ให้กระจ่างแจ่มแจ้งต่อไปในภาคหน้าและหาหลักเกณฑ์มาใช้ ตรงกันข้ามถ้าจะบัญญัติกฎหมายให้ชัดเจน ตำรากฎหมายหรือคำพิพากษา ก็จะได้แต่อธิบายตัวบทกฎหมายที่บัญญัติ ไว้แล้วเท่านั้น ในกรณีดังกล่าว ผู้ร่างกฎหมายก็จะปล่อยช่องว่างแห่งกฎหมายทิ้งไว้โดยไม่ได้บัญญัติกฎหมายไว้เป็นการปล่อยช่องว่างไปโดยตั้งใจ เช่น ภาพลามก ว่าภาพลามกแบบไหน ถึงขั้นว่าเป็นภาพลามก เป็นต้น
ข้อสังเกต การที่เราจะทราบได้อย่างไรว่าเกิดช่องว่างแห่งกฎหมาย ซึ่งมีวิธีการศึกษาสรุปได้ 3 วิธี คือ
1. การตรวจค้นกฎหมายที่ใช้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรหรือ
กฎหมายจารีตประเพณีว่ามีข้อความเป็นอย่างไร
2. ในกรณีบทกฎหมายมีความหมายอันเป็นที่สงสัย เพราะใช้ถ้อยคำ กำกวมหรือ
มีความหมายได้หลายทาง ก็ต้องตีความกฎหมายเสียก่อน ตามหลักการตีความกฎหมาย
3. เมื่อทราบว่ามีกฎหมายลายลักษณ์อักษรหรือกฎหมายจารีตประเพณีได้
กำหนดไว้อย่างไร และในกรณีที่มีความหมายอันเป็นที่สงสัย ก็ต้องตีความ ว่ามีกฎหมายลายลักษณ์อักษรหรือกฎหมายจารีตประเพณีมีอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มีก็ถือได้ว่ากรณีนั้นมีช่องว่างแห่งกฎหมาย
2. วิธีการในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย
เมื่อผู้ใช้กฎหมายตรวจค้นกฎหมายที่ใช้อยู่ ไม่ว่าเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร หรือ กฎหมายจารีตประเพณีว่ามีข้อความอย่างใด หรือในกรณีบทกฎหมาย มีความหมายอันเป็นที่สงสัย เพราะถ้อยคำกำกวม ยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับกรณีนั้นที่จะนำมาใช้บังคับได้ก็ถือได้ว่า มีช่องว่างอันต้องพิจารณาแก้ไข โดยวิธีที่เรียกว่า การอุดช่องว่าง แห่งกฎหมาย กล่าวคือ ปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดให้คดีนั้นได้รับการตัดสินชี้ขาดโดยยุติธรรมแก่คู่กรณี
ดังนั้น เมื่อเห็นว่ามีช่องว่างแห่งกฎหมายก็ต้องอุดช่องว่างแห่งกฎหมายนั้น ซึ่งในที่นี้ขอกล่าวการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายของเป็นสำคัญโดยมีวิธีการ ดังนี้
2.1 ในกรณีกฎหมายมิได้กำหนดวิธีการอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย
ในกรณีกฎหมายมิได้กำหนดวิธีอุดช่องว่างแห่งกฎหมายของตนเองไว้ มีหลักเกณฑ์ การ
อุดช่องว่างแห่งกฎหมายดังนี้
2.1.1 หลักกฎหมายทั่วไป
ในกรณีเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายและศาลก็ไม่ได้กำหนดวิธีในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้ โดยเฉพาะคดีแพ่งและคดีปกครอง ศาลจะต้องพยายามหาหลักเกณฑ์มาใช้พิจารณาพิพากษา จะยกฟ้องโดยอ้างว่าไม่มีกฎหมายมาปรับใช้แก่คดีไม่ได้ การหาหลักเกณฑ์ กระทำโดยผู้พิพากษาสมมุติตนเองว่าเป็นผู้บัญญัติกฎหมาย แล้วกำหนดหลักเกณฑ์ไว้สำหรับข้อเท็จจริงนั้น โดยอาศัยสามัญสำนึกหรือหลักธรรมวินิจฉัยมาปรับแก่คดีหรือมาอุดช่องว่างแห่งกฎหมายได้ดังนี้
1. การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายโดยอาศัยหลักธรรมวินิจฉัย
2. การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายโดยเพ่งเล็งถึงความเป็นธรรมแก่คู่ความทุกฝ่าย
เป็นสำคัญ
3. การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายโดยอาศัยหลักสามัญสำนึกของผู้พิพากษาหรือ
อาจเป็นหลักมโนธรรมของผู้พิพากษา
2.1.2 ข้อยกเว้นในกฎหมายอาญา
ในคดีอาญาถ้ามีช่องว่างแห่งกฎหมายหรือไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำใดเป็นความผิดไว้ ย่อมจะมีการฟ้องร้องทางอาญากันในเรื่องนั้นไม่ได้ ถ้ามีการฟ้องร้อง ศาลก็จะยกฟ้อง
หรือจะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายให้เป็นการลงโทษหรือเพิ่มโทษให้หนักขึ้นไม่ได้ แต่จะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไปในทางที่เป็นผลดีแก่จำเลยได้
2.2 กรณีกฎหมายบัญญัติวิธีการอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย
ในกรณีกฎหมายบัญญัติวิธีการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้ ซึ่งปัจจุบันมีกฎหมาย
ดังกล่าวอยู่ด้วยกัน 6 ฉบับดังนี้คือ
1.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
2.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
3.พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.2481
4.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
5.พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498
6.พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
2.2.1 การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย พ.ศ.2540
การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540ได้กำหนดวิธีการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง ไว้ในมาตรา 7 ได้กำหนดไว้ว่า “ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เช่น กรณีการอุดช่องของรัฐธรรมนูญในประเด็นเรื่องนายกฯพระราชทานเป็นอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่สามารถกระทำได้ในยามวิกฤติซึ่งมีเหตุการณ์ในการหยิบยกมาเป็นการสนับสนุนการขอนายกฯพระราชทานอยู่เสมอ คือ กรณีการแต่งตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีในกรณีที่นายกรัฐมนตรีลาออกภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 16 และการแต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน หลังเหตุการณ์พฤษภทมิฬ 35
2.2.2 การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์
การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรค 2 บัญญัติว่า “เมื่อใดไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ท่านให้วินิจฉัยคดีนั้นตามคลองจารีตประเพณี แห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมาย เช่นนั้น ก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”แสดงว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้กำหนดขั้นตอนในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้ตามลำดับดังนี้
1. จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น (Lacal Custom) ซึ่งหากพบว่ามีช่องว่างแห่ง
กฎหมาย ในการใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้เอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้ก่อน ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง มาใช้ในการวินิจฉัยคดี เช่น มีปัญหาว่าการซื้อสิ่งของเช่น ผลไม้ จะมีการแถมหรือไม่ เรื่องการแถมนี้ ไม่มีบทบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย จึงต้องอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย โดยพิจารณาว่าตามครองจารีตประเพณีท้องถิ่นนั้นการซื้อสิ่งของประเภทนั้นมีการแถมหรือไม่ จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาปรับแก่คดีได้จะต้องมีลักษณะต่อไปนี้คือ
1) ต้องใช้บังคับมาเป็นเวลานาน เป็นจารีตประเพณีที่สมควร มีกำหนด
แน่นอนหรือมิได้บัญญัติยกเลิกหรือขัดกับจารีตประเพณีนั้น
2) ต้องเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไปในท้องถิ่นนั้นๆ
3) ต้องไม่ขัดหรือแย้งต่อกฎหมาย
4) ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
2. การอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง (Analogy)ถ้าไม่มีจารีต
ประเพณีแห่งท้องถิ่นก็ต้องพิจารณาโดยอาศัยกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นกรณีที่ยกบทบัญญัติไว้ในเรื่องอื่น แต่เป็นบทกฎหมายที่บัญญัติไว้สำหรับข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียงกัน
3. การใช้หลักกฎหมายทั่วไป (Principle of law)ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง สำหรับ นำมาใช้ในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้กำหนดให้อุดช่องว่าง โดยนำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้ ซึ่งปรากฏอยู่ในรูปของสุภาษิตกฎหมาย หลักกฎหมายต่างประเทศ นับว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย ซึ่งจะได้กล่าวดังต่อไปนี้ คือ
1) สุภาษิตกฎหมายเป็นคำกล่าวปลูกความคิดในกฎหมายและมี
สาระประโยชน์แต่ก็อาจบกพร่องบ้าง คือ สุภาษิตกฎหมายเป็นข้อความสั้นเต็มไปด้วยแก่นแห่งความจริง สุภาษิตกฎหมายย่อมกล่าวแสดงหลักทั่วไป ไม่ได้แจ้งรายละเอียดหรือวางข้อยกเว้นติดท้ายไว้ด้วย จึงต้องระวังในการที่จะใช้ดำเนินความคิดของผู้ใช้กฎหมายสุภาษิตกฎหมายที่อาจนำมาปรับใช้กฎหมายไทยในแง่ เป็นเครื่องมือช่วยตีความกฎหมายในฐานะเป็นหลักกฎหมายทั่วไป มาเป็นอุทาหรณ์บางเรื่อง ที่ศาลไทยได้ยอมรับและพิพากษาไว้คำพิพากษาฎีกา เช่น กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ความยินยอมไม่ทำให้ละเมิด ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องระวัง ในการใช้อำนาจของตน จะให้เป็นการเดือดร้อนแก่ผู้อื่นไม่ได้ เป็นต้น
2) หลักกฎหมายต่างประเทศ ศาลอาจนำหลักกฎหมายต่างประเทศมา
ใช้ในฐานะเป็นหลักกฎหมายทั่วไป เพื่ออุดช่องว่างแห่งกฎหมายได้ ในกรณีที่กฎหมายไทยได้เปิดช่องให้ใช้หลักกฎหมายต่างประเทศในเรื่องนั้นๆ
2.2.3 การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่ง
กฎหมาย พ.ศ.2481
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.2481 มาตรา 2 บัญญัติว่า “เมื่อใดไม่มีบทบัญญัติในพระราชบัญญัติหรือกฎหมายอื่นใดแห่งประเทศสยามที่จะยกปรับแก่กรณีการขัดกันแห่งกฎหมายได้ให้กฎเกณฑ์ทั่วไปแห่งกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล”
ตัวอย่างเช่น เกิดกรณีพิพาทคดีแพ่งระหว่างคนไทย กับคนอเมริกันเรื่องการเรียกสินสมรสระหว่างสามีภริยาของประเทศใดบังคับ ซึ่งตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายไม่ได้ระบุไว้ว่าให้ใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับ จึงถือได้ว่าเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายขึ้นแล้ว การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายขึ้นแล้ว แต่บทบัญญัติกฎหมายไทยในเรื่องนี้ก็ไม่มี ต้องนำ เอาหลักทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลนั้น ถ้าปรากฏว่าหลักทั่วไปนั้นให้ใช้กฎหมายต่างประเทศคือ กฎหมายอเมริกันซึ่งการใช้กฎหมายอเมริกันต้องใช้เพียงเท่าที่ไม่ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนไทย ถ้าการอยู่กันระหว่างคนเพศเดียวกันถือว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ตามกฎหมายอเมริกัน แต่กฎหมายไทยถือว่าผิดศีลธรรม จึงไม่อาจใช้กฎหมาย อเมริกันบังคับได้ ทางออกของกรณีนี้คือ ถือหลักกรรมสิทธิ์รวม (Co-Ownership) ในการแบ่ง ทรัพย์สินกัน
2.2.4 การอุดช่องว่างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 บัญญัติว่า “วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้”
ตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล จึงต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 30 มาตรา 31 และ มาตรา 33 มาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้ กล่าวคือ ศาลที่พิจารณาคดีอาญาย่อมลงโทษบุคคลฐานละเมิดอำนาจศาลโดยนำมาตราดังกล่าวมาใช้ บังคับได้
2.2.5 การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร
พ.ศ.2498
การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498มาตรา 45กำหนดว่า “วิธีพิจารณาความอาญาทหารให้นำกฎหมายและข้อบังคับตามกฎหมายฝ่ายทหารมาใช้ ถ้าไม่มีกฎหมาย กฎและข้อบังคับก็ให้นำประมวลกฎหมายมาใช้บังคับโดยอนุโลม ถ้าวิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่จะใช้ได้” กฎหมายฉบับนี้แสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีอาญาในศาลทหารนั้นมิได้แตกต่างในสาระสำคัญไปจากการพิจารณาคดีอาญาในศาลยุติธรรม
ตัวอย่างเช่น การละเมิดอำนาจศาลทหาร ก็มีได้โดยนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับใน ศาลทหารได้ นับว่าเป็นเทคนิคการร่างกฎหมายที่ได้กำหนดวิธีการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายของตนได้โดยไม่ขัดเขินในทุกกรณี
2.2.6 การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาล
ปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 72 วรรค 5 ในกรณีที่ศาลปกครองมีคำสั่งบังคับตามวรรคหนึ่ง (5) หรือวรรค 4 ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
กฎหมายฉบับนี้แสดงให้เห็นว่าได้มีการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายในการบังคับคดีเพราะในเรื่องการบังคับคดีในศาลปกครองยังไม่ได้มีการกำหนดไว้ จึงให้การบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับอนุโลม
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาศึกษาให้ถ่องแท้จะพบว่า มาตรการคำบังคับคดีของศาลปกครองยังขาดความสมบูรณ์อยู่มากคือบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งจะนำมาใช้บังคับได้ก็เฉพาะแต่กับกรณีที่ศาลปกครองมีคำบังคับให้คู่กรณีฝ่ายเอกชนกระทำการหรือละเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือให้ชำระเงิน หรือส่งมอบทรัพย์สินตามคำพิพากษาเท่านั้น หากนำมาใช้บังคับกับกรณีที่ศาลปกครองมีคำบังคับให้คู่กรณีที่เป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐงดเว้นกระทำการ หรือให้ชำระเงินหรือส่งมอบทรัพย์สินตามคำพิพากษาไม่ได้ ทั้งนี้เพราะกฎหมาย “ห้ามมิให้ยึดทรัพย์สินของแผ่นดินไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินหรือไม่
นอกจากนั้น การจับกุมและกักขังหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ขัดขืนคำบังคับของศาลปกครองที่สั่งให้กระทำหรืองดเว้นกระทำการโดยเหตุผลของเรื่องแล้วก็ไม่อาจกระทำได้เช่นกัน และเนื่องจากกฎหมายคงไม่อาจไว้วางใจได้ว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะเคารพและปฏิบัติตามคำบังคับของศาลโดยไม่ขัดขืนในทุกกรณี ดังนั้น ในอนาคตจะต้องมีการศึกษาวิจัยเพื่อแสวงหามาตรการบังคับให้หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติตามคำบังคับที่ศาลปกครองกำหนด


หนังสือและเอกสารอ่านประกอบเพิ่มเติม
ธานินทร์ กรัยวิเชียร และ วิชา มหาคุณ “การตีความกฎหมาย” โครงการตำราครูทางนิติศาสตร์
คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.กรุงเทพฯ:ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงพิมพ์ชวนพิมพ์,พิมพ์ครั้งที่ 2,2539
หยุด แสงอุทัย “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป” กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ประกายพรึก,
พิมพ์ครั้งที่ 15 ,2545


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts